ับระบบ RFID
แล้วมันคืออะไรหละ นั้นน่ะสิคือสิ่งที่เราต้อง
เรารู้ ดูจากแนวโน้ม ปี 2007 จะมีการนำ RFID ในเมืองไทยมากกว่า 30 เปอร์เซ็น เราคงต้องรู้จักกับเจ้า RFID กันหน่อย ..
RFID ย่อมาจากคำว่า Radio Frequency Identification เป็นเทคโนโลยีไร้สายที่ใช้ร
ะบุ ลักษณะเฉพาะของคน สัตว์ และสิ่งของ ด้วยการติดแผ่นป้ายอิเล็กทร
อนิกส์ (Tags) ที่มีการลงโปรแกรมควบคุมที่
ระบุ อย่างเฉพาะเจาะจง โดยติดไปกับสิ่งที่ต้องการต
รวจสอบ และระบุถึงข้อมูลของสิ่งนั้
นๆ ซึ่งเทคโนโลยีนี้เป็นการนำเ
อาคลื่นวิทยุมาเป็นคลื่นพาห
ะเพื่อใช้ในการสื่อสารข้อมู
ลระหว่างอุปกรณ์ 2 ตัวที่เรียกว่า แผ่นป้าย (Tag) และตัวอ่านข้อมูล (Reader หรือ Interrogator)
รูปที่ 1 แผนผังการทำงานของระบบ RFID
องค์ประกอบของระบบ RFID
RFID Tag หรือ Label คือแผงวงจรวิทยุขนาดเล็กบรร
จุข้อมูลความจำ (Memory chip) บนแผ่นกระดาษขนาด 2 ตารางนิ้ว ที่สามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 2,000 บิตต่อชิปหนึ่งตัว RFID TAG มี 2 ชนิดคือ
Active Tag : ประกอบด้วยเครื่องรับ-ส่งคล
ื่นวิทยุ และแบตเตอรี่ที่ให้พลังงานใ
นตัวเอง ทำให้สามารถรับ-ส่งสัญญาณข้
อมูลกับ RFID Reader ได้ในระยะไกล สามารถทำงานในบริเวณที่มีสั
ญญาณ รบกวนได้ดี และสามารถอ่านและเขียนข้อมู
ลลงใน Tag ชนิดนี้ได้ แต่มีข้อเสียคือ มีอายุการใช้งานจำกัดตามอาย
ุของ แบตเตอรี่ และมีราคาแพงกว่าแบบ Passive Tag
Passive Tag : ไม่มีแบตเตอรี่ในตัวเอง น้ำหนักเบา อายุการใช้งานไม่จำกัด และราคาถูกกว่าแบบ Active Tag ลักษณะการทำงานคือ เมื่อได้รับสัญญาณที่ RFID Reader ส่งมา (อยู่ภายในรัศมีสัญญาณ ประมาณ 3 เมตร) จะทำการแปลงสัญญานนั้นเป็นพ
ลัง งาน(Beam Powered) เพื่อใช้ในการส่งข้อมูลของต
ัวเองกลับไปยัง Reader โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า Backscatter แต่ข้อเสียคือระยะการรับส่ง
ข้อมูลใกล้ ตัวอ่านข้อมูลต้องมีความไว้
สูง และจะถูกรบกวนด้วยคลื่นแม่เ
หล็กไฟฟ้าได้ง่าย
RFID Reader หรือ Interrogator คือตัวอ่านข้อมูล มีหน้าที่รับข้อมูลที่ส่งมา
จาก Tag แล้วทำการตรวจสอบความผิดพลา
ดของ ข้อมูล ถอดรหัสข้อมูล และนำข้อมูลผ่านเข้าสู่กระบ
วนการต่อไป ซึ่ง Reader ที่ดีต้องมีความสามารถในการ
ป้องกัน การอ่านข้อมูลซ้ำ เช่นในกรณีที่ Tag ถูกวางทิ้งอยู่ในบริเวณสนาม
แม่เหล็กไฟฟ้าที่ Reader สร้างขึ้น หรืออยู่ในระยะการรับส่ง ก็อาจทำให้ Reader ทำการรับหรืออ่านข้อมูลจาก Tag ซ้ำอยู่เรื่อย ๆไม่สิ้นสุด ดังนั้น Reader ที่ดีต้องมีระบบป้องกันเหตุ
การณ์เช่นนี้ ที่เรียกว่าระบบ "Hands Down Polling" โดย Reader จะสั่งให้ Tag หยุดการส่งข้อมูลในกรณีเกิด
เหตุการณ์ดังกล่าว หรืออาจมีบางกรณีที่มี Tag หลาย Tag อยู่ในบริเวณสนามแม่เหล็กไฟ
ฟ้าพร้อมกัน หรือที่เรียกว่า "Batch Reading" Reader ควรมีความสามารถที่จะจัดลำด
ับการอ่าน Tag ทีละตัวได้
3. Antenna เป็นสายอากาศที่เชื่อมต่อกั
บ Reader เป็นตัวรับและส่งคลื่นความถ
ี่วิทยุ ซึ่งเป็นคลื่นพาหะ ที่ผ่านการทำมอดูเลต กับข้อมูลแล้ว ซึ่งการรับส่งคลื่นมี 2 วิธีด้วยกัน คือ วิธีเหนี่ยวนำคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้า (Inductive Coupling หรือ Proximity Electromagnetic) กับ วิธีการแผ่คลื่นแม่ เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Propagation Coupling) ดังรูป
รูปที่ 2 แสดงการสื่อสารระหว่าง Tag และ Reader
หลักการทำงานเบื้องต้น
1. Reader จะทำการปล่อยคลื่นแม่เหล็กไ
ฟฟ้า ออกมาตลอดเวลา และคอยตรวจจับว่ามีแท็กเข้า
มา อยู่ ในบริเวณสนามแม่เหล็กไฟฟ้าห
รือไม่
2. เมื่อมี Tag เข้ามาอยู่ในบริเวณสนามแม่เ
หล็กไฟฟ้า Tag จะได้รับพลังงานไฟฟ้าที่เกิ
ดจาก การเหนี่ยว นำของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเพื
่อให้ Tag เริ่มทำงานและจะส่งข้อมูลใน
หน่วยความจำที่ผ่านการมอดูเ
ลต กับคลื่นพาหะ แล้วออกมาทางสายอากาศที่อยู
่ภายใน Tag
3. คลื่นพาหะที่ถูกส่งออกมาจาก
Tag จะเกิดการเปลี่ยนแปลงแอมปลิ
จูด, ความถี่ หรือเฟส ขึ้นอยู่กับ วิธีการมอดูเลต
4. Reader จะตรวจจับความเปลี่ยนแปลงขอ
งคลื่นพาหะ แปลงออกมาเป็นข้อมูลแล้วทำก
ารถอดรหัส เพื่อนำข้อมูลไปใช้งานต่อไป
รูปที่ 3 ตัวอย่างการใช้งาน Tag และ Reader
การประยุกต์ใช้งาน RFID จะมีลักษณะการใช้งานที่คล้า
ยกับบาร์โค้ด (Bar code) แต่ต่างกันตรงที่ Tag ของระบบ RFID สามารถอ่านและบันทึกข้อมูลไ
ด้ ดังนั้นผู้ใช้จึงสามารถบันท
ึก หรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่อย
ู่ใน Tagsได้ และสามารถนำ Tags ไปติดกับกระดาษ พลาสติก ฝั่งในแก้ว หรือการ์ดก็ได้ขึ้นความเหมา
ะสมในการนำไปใช้งาน
รูปที่ 4 รูปแบบต่าง ๆ ของผลิตภัณฑ์ RFID
วิวัฒนาการของ RFID จากอดีตจนถึงปัจจุบัน
Radio Frequency Identification (RFID) : เทคโนโลยีไร้สายที่ใช้คลื่น
วิทยุ ในการระบุลักษณะเฉพาะของคน สัตว์ และสิ่งของ เริ่มต้นขึ้นในศตวรรษที่ 20
20th Century
เทคโนโลยี RFID ถือกำเนิดมาจากพลังงานแม่เห
ล็กไฟฟ้า โดยนักวิทยาศาสตร์ได้มีการค
ิดค้นทฤทษฎีต่าง ๆ ในการนำเอาพลังงานแม่เหล็กไ
ฟฟ้า มาใช้กับการรับส่งคลื่น
วิทยุ และพัฒนามาจนกลายเป็นเทคโนโ
ลยี RFID ในที่สุด โดยประมาณปี 1922 ได้มีการพัฒนาเรดาร์ขึ้นในช
่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อใช้ในการตรวจจับ ระบุตำแหน่ง และความเร็วของวัตถุให้กับก
องทัพ และในช่วงสุดท้ายของการพัฒน
าเรดาร์นี้เองเทคโนโลยี RFID จึงถือกำเนิดขึ้น จากการรวมกันของเทคโนโลยีกา
รกระจายคลื่นวิทยุ และ เรดาร์
1940s
ในปี 1948 มีการนำเสนอผลงานเกี่ยวกับ RFID ออกสู่สาธารณชน เรื่อง “ Communication by Means of Reflected Power.” โดย Harry Stockman
1950s : Early Exploration of RFID Technology
ยุคเริ่มต้นของการสำรวจเทคโ
นโล ยี RFID มีผลงานการพัฒนาที่เกิดขึ้น
ในยุคนี้ ได้แก่ "Application of the microwave homodyne" ของ F. L. Vernon's และ "Radio transmission systems with modulatable passive responder . ” ของ D.B. Harris ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนการพั
ฒนา RFID ให้ก้าวต่อไปข้างหน้า
1960s : RFID Become Reality
ยุคของการพัฒนาเทคโนโลยี RFID มีผลงานการพัฒนาได้แก่ "Field measurements using active scatterers" and "Theory of loaded scatterers" ของ R. F. Harrington , "Remotely activated radio frequency powered devices" ของ Robert Richardson , "Communication by radar beams" ของ Otto Rittenback , "Passive data transmission techniques utilizing radar beams" ของ J. H. Vogelman และ "Interrogator-responder identification system" ของ J. P. Vinding
และกิจกรรมเชิงพาณิชย์ของ RFID ได้เริ่มต้นเป็นครั้งแรกในป
ี 1960 จากการพัฒนาและจำหน่ายเครื่
องตรวจจับอิเล็กทรอนิกส์เพื
่อป้องกันขโมย ที่เรียกว่า Electronic Article Surveillance (EAS) ของบริษัท Sensormatic Checkpoint และบริษัทอื่น ๆ เช่น Knogo
1970s : Explosion of RFID Development.
การพัฒนาเทคโนโลยี RFID ได้รับความสนใจอย่างมาก ทั้งจากภาครัฐ และภาคเอกชน โดยมีบริษัทใหญ่ ๆ เช่น Raytheon ทำการพัฒนา Raytag ,RCA and Fairchild พัฒนา "Electronic identification system" และ "Passive encoding microwave transponder" รวมถึงการพัฒนาจากสถาบันการ
ศึกษา ซึ่งสถาบันที่มีบทบาทสำคัญ คือ Los Alamos Scientific Laboratory ได้นำเสนอผลงานพัฒนาที่ก้าว
หน้าและสำคัญ เรื่อง “Short-range radio-telemetry for electronic identification using modulated backscatter" โดย Alfred Koelle, Steven Depp และ Robert Freyman
และในยุคนี้ได้เริ่มมีการนำ
เอา เทคโนโลยี RFID มาใช้ในงานด้านอื่น ๆ อาทิเช่น ระบบเก็บค่าผ่านทางอิเล็กทร
อนิกส์ การใช้งานในโรงงาน การติดตามสัตว์ หรือยานพาหนะ เป็นต้น
1980s : Commercial Applications of RFID
นับเป็นทศวรรษแห่งการใช้งาน
เทคโนโลยี RFID อย่างเต็มรูปแบบ ถึงแม้ว่าการพัฒนาจะแตกต่าง
กันไปในแต่ละส่วนของโลก แต่ความสนใจของสหรัฐอเมริกา
มุ่ง ไปที่การนำ RFID มาใช้ในระบบขนส่ง การเข้าถึงบุคคล และขยายไปถึงการติดตามสัตว์
สำหรับในยุโรปสนใจในระบบ Short-range สำหรับสัตว์ อุตสาหกรรม และด้านธุรกิจ ในประเทศอิตาลี ฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส และนอร์เวย์มีการเตรียมถนนห
รือ สะพานให้พร้อมสำหรับการใ
ช้เทคโนโลยี RFID ในอนาคต จนในปี 1987 ประเทศนอร์เวย์ได้เริ่มใช้ร
ะบบเก็บค่าผ่านทางอิเล็กทรอ
นิกส์นี้ในเชิงพาณิชย์เป็นค
รั้งแรก ตามมาด้วยสหรัฐอเมริกาใน ปี 1989 ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองของ New York และ New Jersey เริ่มใช้กับรถบัสที่ผ่านอุโ
มงค์ Lincoln จะเห็นว่าในช่วง 10 ปีนี้เทคโนโลยี RFID ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญ
กับ ระบบเก็บค่าผ่านทางอิเล็
กทรอนิกส์ มากขึ้น และยังมีผู้พัฒนารายใหม่มาก
เพิ่ม ขึ้นทุกวัน
1990s : RFID becomes a part of everyday life.
เป็นทศวรรษสำคัญของ RFID มีการกำหนดมาตรฐาน RFID และมีการจดสิทธิบัตรมากกว่า
350 ฉบับ อีกทั้ง มีการนำมาใช้งานเชิงพาณิชย์
อย่างกว้างขวาง เช่นระบบเก็บค่าผ่านทางอิเล
็กทรอนิกส์ ที่ใช้กันอย่างแพ
ร่หลาย ในประเทศต่าง ๆ ได้แก่ ที่สหรัฐอเมริกา ในปี 1991 มีการเปิดใช้งานบนทางหลวงใน
Oklahoma และปี 1992 นำระบบเก็บค่าผ่านทางอิเล็ก
ทรอนิกส์นี้มาใช้ร่วมกับระบ
บบริหารการจราจรในพื้นที่ Houston มลรัฐ Harris รวมถึงประเทศแถบยุโรป แคนาดา เม็กซิโก อาร์เจนตินา แอฟริกาใต้ ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงค์โปร์ และไทย
The 21st Century
ปัจจุบันได้เริ่มมีการพัฒนา
เทคโนโลยี RFID ให้ประยุกต์ใช้งานในเชิงพาณ
ิชย์ มากขึ้น อาทิเช่น การบริหารจัดการสินค้าในธุร
กิจค้าปลีก การจัดการข้อมูลและประวัติผ
ู้ป่วยในธุรกิจโรงพยาบาลและ
สถานพยาบาลต่าง ๆ (Health Care) การจัดการข้อมูลสัตว์เลี้ยง
ของ ธุรกิจฟาร์มปศุสัตว์ (Animal Identification) การจัดการข้อมูลงานทะเบียนข
องภาครัฐ และการรักษาความปลอดภัย การเข้าออกของอาคาร สำนักงาน (Security Access) เป็นต้น
เทคโนโลยี RFID กับการพาณิชย์
ธุรกิจค้าปลีก
ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยี RFID มาประยุกต์ใช้ในธุรกิจค้าปล
ีก ด้านการบริหารจัดการสินค้า เพื่อให้สามารถควบคุมดูแลสิ
นค้า ได้ ตั้งแต่เริ่มต้นกระบวน สั่งสินค้าจาก Suppliers จนส่งมอบสินค้าถึงมือลูกค้า
และเพื่อให้สามารถใช้ข้อมูล
แบบ real-time ร่วมกันได้อย่างอัตโนมัติ โดยความท้าทายคือการหาวิธีใ
นการบริหารจัดการข้อมูล ทั้งในเรื่องการกลั่นกรองข้
อมูล ใช้ หรือแชร์ข้อมูลนั้นร่วมกันร
ะหว่างบริษัท ค้าปลีก และซัพพายเออร์ โดยบริษัทที่เป็นผู้ริเริ่ม
และมีบทบาทสำคัญในการนำเทคโ
นโลยี RFID มาใช้คือ Wal-Mart ยักษ์ใหญ่แห่งวงการค้าปลีกข
องประเทศ สหรัฐอเมริกา และของโลก และ Tesco Lotus ของประเทศอังกฤษ
Wal-Mart บริษัทค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุด
ใน สหรัฐอเมริการ ก่อตั้งเมื่อปี 1962 ปัจจุบันที่ร้านค้ากว่า 500 ร้าน และมีคลับผุ้ค้าส่งในกว่า 10 ประเทศ บริษัทมียอดขายกว่า 9.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ
การศึกษาเทคโนโลยี RFID ทาง Wal-Mart ได้ทำการศึกษาถึงศักยภาพของ
เทคโนโลยี RFID มาเป็นเวลากว่า 12 ปี ที่ Rogers, Ark., โดยทำการทดสอบ tags และ readers จากผู้ขายจำนวนหลายราย และศึกษาถึงประสิทธิภาพการใ
ช้ง านของอุปกรณ์เหล่านี้ภาย
ใต้ สภาวะแวดล้อมที่แตกต่างก
ันของศูนย์ กระจายสินค้าและห
้อง เก็บของ และยังได้ร่วมมือกับ Auto-ID Center (องค์กรวิจัยแบบไม่แสวงหากำ
ไร ตั้งอยู่ที่ Massachusetts Institute of Technology) มาเป็นเวลา 2 ปีครึ่ง เพื่อพัฒนาและทดสอบเทคโนโลย
ี RFID
การประกาศใช้เทคโนโลยี RFID เมื่อศึกษาจนแน่ใจในตัวเทคโ
นโลยี RFID แล้ว Wal-mart จึงประกาศให้ซัพพายเออร์ 100 รายแรกติด RFID tags บนลังใส่สินค้า และ pallets (ถาดที่ทำจากไม้หรือเหล็กสำ
หรับ วางลังสินค้าจำนวนมาก) ที่ส่งเข้าศูนย์กระจายสินค้
า และร้านค้า ให้เสร็จสิ้นภายในเดือนมกรา
คม ปี ค.ศ. 2005 แห่ง ซึ่งถ้าซัพพายเออร์รายใดไม่
ปฏิบัติตามจะต้องถูก และตั้งเป้าภายในสิ้นปี 2005 กำหนดใช้ RFID กับร้านค้า 3,000 แห่ง และศูนย์กระจายสินค้า 100 แห่ง แต่เนื่องจาก RFID เป็นเทคโนโลยีที่ใหม่มากสำห
รับ วงการค้าปลีก จึงมีคำถามเกิดขึ้นมากมายเช
่น จะนำเทคโนโลยี RFID นี้มาใช้อย่างไร ข้อมูลใดบ้างที่ต้องแชร์กัน
ระหว่าง Wal-Mart กับฃัพพายเออร์จำนวนมาก และบริษัทจะติดตามสินค้าด้ว
ยบาร์โค้ดไปพร้อมกับ RFID tags ขณะทำการขนส่งได้ แต่ถึงแม้จะมีคำถามและข้อสง
สัยต่าง ๆ ทาง Wal-Mart ยังคงยืนยันการใช้เทคโนโลยี
RFID นี้เพราะบริษัทจะได้รับประโ
ยชน์ ทั้งในด้านประสิทธิภาพก
ารทำ งานดีขึ้น ต้นทุนที่ลดลง และยอดขายที่เพิ่มขึ้น
ประโยชน์ที่ Wal-Mart ได้รับจากการนำเทคโนโลยี RFID มาใช้
สามารถลดจำนวนพนักงานที่มีห
น้า ที่สแกน bar code บน pallets และลังสินค้า รวมถึงสินค้าในร้านค้า ทำให้ลดต้นทุนแรงงานได้ 15 เปอร์เซ็นต์คิดเป็นเงิน 6.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ
จากการใช้ระบบ smart shelf ในการจัดการกับสินค้าบนชั้น
วางสินค้าในร้านค้า ทำให้ประหยัดไปได้ถึง 600 ล้านเหรียญสหรัฐ
ลดการสูญหายของสินค้า ทั้งจากการขโมยของพนักงาน หรือการโกงจากผู้ขาย และการบริหารที่ผิดพลาด ทำให้ประหยัดไปได้ 575 ล้านเหรียญสหรัฐ
ด้วยระบบการติดตามที่ดีที่ใ
ช้ก ับ pallets และลังสินค้าที่ผ่านเข้าออก
ศูนย์กระจายสินค้าในแต่ละปี
ทำให้บริษัทสามารถประหยัดได
้ถึง 300 ล้านเหรียญสหรัฐ
ลดค่าใช้จ่ายในการบริหารสิน
ค้า คงคลังได้ถึง 180 ล้านเหรียญสหรัฐ
Tesco ประกอบธุรกิจในรูปแบบ Supermarket , Hypermarket และ Convenience Store ในประเทศอังกฤษ ไอร์แลนด์ ยุโรปกลาง และเอเชีย รวมแล้วกว่า 2000 แห่ง ซึ่งอยู่ในอังกฤษถึง 1982 แห่งด้วยกัน โดยเมื่อปี 2003 บริษัทมียอดขายกว่า 41 พันล้านเหรียญสหรัฐ ถือเป็นบริษัทค้าปลีกรายใหญ
่ที่ สุดในเกาะอังกฤษ
การศึกษาเทคโนโลยี Tesco เป็นบริษัทแรกที่พัฒนาเทคโน
โลยี Smart Shelf ที่ได้รับการออกแบบโดย Gilletes และเป็นรายแรกที่ทดลองใช้ ระบบ low-cost antenna ที่พัฒนาโดย MeadWestvaco’s Intelligent System (MWVIS) พื่อที่จะติดตาม CDs ในร้านค้าได้ สำหรับการทดลอง RFID Tesco ทำงานร่วมกับ Alien Technology , IBM Business Consulting Services, Intel , IPI และ Auto-ID Center ขั้นตอนการทดลองคือ เมื่อศูนย์กระจายสินค้ารับค
ำสั่งซื้อจากร้านค้าแล้ว พนักงานมีหน้าที่ไปจัดสินค้
าทั้ง หมด ( ซึ่งได้รับการติด RFID tag จากซัพพายเออร์แล้ว) รวบรวมไปวางไว้บน pallet ที่ติด RFID tag ไว้ เพื่อนำส่งไปยังร้านค้า โดยผ่านจุดเข้า-ออกของศูนย์
กระจาย สินค้าซึ่งติด RFID reader ไว้ ซึ่งในขั้นตอนการผ่านเข้า-อ
อกจะมีการอ่านและบันทึกข้อม
ูลสินค้า และเวลาเข้าออก เก็บไว้ ทำให้ทางบริษัทสามารถติดตาม
ตรวจ สอบสินค้าทุกชิ้นที่ผ่า
นเข้า ออกศูนย์กระจายสินค้าน
ี้ได้
การประกาศใช้เทคโนโลยี RFID ในเดือนเมษายน 2004 ทาง Tesco ได้เริ่มแนวคิดที่จะนำ RFID มาใช้ในธุรกิจ โดยทำการติด RFID tag บนบรรจุภัณฑ์ของสินค้าประเภ
ท nonfood ที่ศูนย์กลางกระจายสินค้า เพื่อให้สามารถติดตามสินค้า
ไปจนถึงร้านค้าได้ และประมาณเดือนกันยายนซัพพา
ยเออร์ บางรายจะเริ่มติด tag บนบรรจุภัณฑ์ของสินค้าที่จะ
ส่งไปยังศูนย์กลางกระจายสิน
ค้าของ Tesco แต่ทางบริษัทไม่ได้กำหนดวัน
ที่ แน่นอนที่ซัพพายเออร์ทุก
ราย ต้องติด tag บนสินค้าของตนเอง เพียงแต่ประมาณการไว้ในเดือ
นกันยายน 2005 จะดำเนินการให้ครอบคลุมสินค
้าหลัก ๆ และขยายให้ครอบคลุมสินค้าทั
้งหมด ในเดือนกันยายน 2006 และคาดว่าจะใช้เทคโนโลยี RFID ได้ตลอดกระบวนการของห่วงโซ่
อุป ทานในปี 2007
การดำเนินการของผู้ที่เกี่ย
วข้อง ทั้งหมดในห่วงโซ่อุปทา
น เมื่อมีการนำเทคโนโลยี RFID มาใช้
ด้านซัพพายเออร์ นอกจากจะต้องติด tags ที่ pallets และลังใส่สินค้าที่ส่งให้บร
ิษัท ค้าปลีก อย่าง Wal-Mart และ Tesco Lotus แล้ว ยังต้องทำการติดตั้งเครื่อง
อ่าน RFID readers ในโรงงาน โกดังสินค้า และศูนย์กระจายสินค้าของตนเ
องด้วย และจากความต้องการที่แตกต่า
งกัน ไปของผู้ค้าปลีกแต่ละรา
ย ทางซัพพายเออร์อาจต้องใช้ tag ชนิดพิเศษ ต้องติด tag ให้ตรงตามตำแหน่งที่กำหนด และต้องจัดเรียงลังใส่สินค้
าบน pallet ตามรูปแบบที่กำหนดโดยเฉพาะ ไม่สามารถจะวางกองสุ่ม ๆ กันแบบเมื่อก่อนได้อีกแล้ว และเนื่องจาก RFID tags ที่ใช้จะเก็บ serial number ซึ่งมีความหมายต่าง ๆ กันไป ดังนั้นทางซัพพายเออร์ต้องม
ีการ ดำเนินการด้าน IT คือต้องทำการสร้างฐานข้อมูล
เพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับตั
วสินค้า ว่าสินค้านั้นคืออะไร ผลิตจากที่ไหน และมีวันหมดอายุเมื่อไร โดยทางผู้ค้าปลีกต้องกำหนดใ
ห้แน่นอนว่าต้องการข้อมูลอะ
ไรบ้าง มีรูปแบบอย่างไร และจะสามารถแชร์ข้อมูลกันได
้อย่าง ไร ซึ่งทั้งหมดนี้ทางผู้ค้าปลี
กและ ซัพพายแออร์ต้องทำงานปร
ะสาน กันเป็นอย่างดี
ด้านบริษัทพัฒนาซอฟท์แวร์ต้
องทำ การสร้าง fields ใหม่เพื่อรองรับข้อมูล หรือเพิ่ม module การทำงาน หรือ upgrade ผลิตภัณฑ์เพื่อรองรับ serial number ใน RFID tags แต่สุดท้ายแล้วทางผู้ค้าปลี
กและ ซัพพายเออร์ต้องจัดเตรี
ยม middleware ไว้คอยรับข้อมูลจำนวนมหาศาล
ที่มาจากเครื่องอ่าน โดยต้องมีวิธีการจัดการที่ด
ี ในการรับเฉพาะข้อมูลที่เป็น
ประโยชน์ เข้าสู่ระบบ และมีวิธีกำจัดข้อมูลที่เข้
ามาซ้ำ หรือผิดพลาดออกไปจากระบบ โดยทาง IT และผู้จัดการร้านต้องหาวิธี
ที่ เหมาะสมในการที่จะจัดการ
กับ ปริมาณสินค้าคงคลังไม่ให
้มี มากหรือน้อยจนเกินไป
ปัญหา และอุปสรรคของเทคโนโลยี RFID
ถึงแม้ทุกฝ่ายจะเตรียมการดั
งก ล่าวข้างต้นเป็นอย่างดี แต่การนำเทคโนโลยี RFID มาใช้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
จากอุปสรรคเกี่ยวกับข้อจำกั
ดของ คลื่นที่ใช้ส่งระหว่าง tags และ readers คือคลื่นที่ถูกส่งออกไปจะสะ
ท้อนกลับเมื่อกระทบกับโลหะ และคลื่นความถี่จะถูกดูดซับ
โดย น้ำ รวมถึงความผิดพลาดจากการอ่า
นค่า ปัญหาเหล่านี้ทำให้บรรดาผู้
ค้า ปลีกต้องหาข้อสรุปสำหรับ
ข้อ จำกัดเหล่านี้ เพราะมีสินค้ากว่า 100 ชนิดที่มีน้ำบรรจุอยู่ในปริ
มาณที่สูง หรือทำมาจากโลหะ
แนวโน้มการเติบโตของเทคโนโล
ยี RFID
บางคนมองว่าเทคโนโลยี RFID นี้ ไม่เหมาะกับระบบห่วงโช่อุปท
านแบบเปิดที่มีการซึ้อขายสิ
นค้าหลากหลาย
แบรนด์ แต่เหมาะกับระบบห่วงโช่อุปท
านแบบ ปิด อย่างเช่น กลุ่ม Marks & Spencer ที่ขายสินค้าเฉพาะแบรนด์ของ
ตนเองเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ผู้คนส่วนมากคาดหวังว่าการน
ำ RFID tags มาใช้จะเกิดได้อย่างรวดเร็ว
เพราะเกิด ‘Network Effect’ จากการที่ Wal-Mart และ Tesco เป็นบริษัทที่จำหน่ายสินค้า
หลายประเภท ทั้งชิ้นส่วนรถยนต์ เสื้อผ้า ของชำ ยา และสินค้าเพื่อความบันเทิง ทำให้การใช้เทคโนโลยี RFID สามารถกระจายเครือข่ายไปในอ
ุตสา หกรรมต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อซัพพายเออร์จำนวนมา
กปรับตัวมาใช้เทคโนโลยี บรรดาผู้ค้าปลีกรายอื่นก็ได
้รับ ประโยชน์จาก RFID ตามไปด้วย เป็นผลให้ราคาของ tags และ readers ถูกลงเป็นตัวกระตุ้นให้บริษ
ัทต่าง ๆ กระโดดเข้าใช้เทคโนโลยี RFID นี้เพิ่มขึ้นในอนาคต
ธุรกิจโรงพยาบาล (Health Care)
รับโรงพยาบาล หรือสถานพยาบาลอื่น ๆ มีการนำเอาระบบ RFID มาใช้ในด้านต่างๆ เช่น การบันทึกประวัติผู้ป่วย และการรักษา รวมถึงการจัดการยาและเวชภัณ
ฑ์ โดยประโยชน์ที่ทางโรงพยาบาล
จะได้รับจากการบันทึกประวัต
ิผู้ป่วยด้วยระบบ RFID คือ เมื่อผู้ป่วยเข้ามาในโรงพยา
บาล เครื่องอ่านข้อมูล จะทำการอ่านข้อมูลจาก Tag ของผู้ป่วยที่เข้ามา เจ้าหน้าที่ก็จะทราบประวัติ
และรายละเอียดการักษาพยาบาล
ของ ผู้ป่วยรายนั้น ๆ ได้ทันที ทำให้สามารถให้บริการกับผู้
ป่วยรายนั้นได้ โดยไม่ต้องเสียเวลาในการค้น
ประวัติ อีกทั้งยังสามารถติดตามดูแล
ผู้ ป่วยได้อย่างใกล้ชิดมากข
ึ้น เช่นในกรณีที่ผู้ป่วยไม่มาพ
บแพทย์ ตามวันและเวลาที่นัดไ
ว้ ทางโรงพยาบาลก็สามารถทราบได
้จากระ บบแจ้งเตือน และเจ้าหน้าที่ก็จะทำการติด
ต่อไปยังผู้ป่วยเพื่อเตือนใ
ห้มาตามนัด หรืออาจติดตามไปถึงบ้านในกร
ณีของผู้สูงอายุ สำหรับการจัดการด้านยาและเว
ชภัณฑ์ การติด Tag ที่ยาหรือเวชภัณฑ์ทำให้ทราบ
รายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับยาชนิดนั้น เช่นวันผลิต วันหมดอายุ หรือทราบจำนวนที่เหลือในคงค
ลัง เจ้าหน้าที่ไม่ต้องคอยจำหรื
อดูบันทึก ซึ่งบางครั้งก็เกิดความผิดพ
ลาดขึ้นได้ ทำให้ระบบมีความถูกต้องแม่น
ยำขึ้น และสามารถบริหารระบบคงคลังไ
ด้ดีขึ้น จึงลดต้นทุนในส่วนนี้ลงได้ สำหรับผู้ป่วยจะได้รับการคว
ามสะดวก รวดเร็วในการไปพบแพทย์ที่โร
งพยาบาล ได้รับการรักษาที่ถูกต้องเช
ื่อ ถือได้ และได้รับการดูแลอย่างใกล้ช
ิด โดยเฉพาะในกรณีของผู้สูงอาย
ุ
ธุรกิจฟาร์มปศุสัตว์(Animal
Identification)
มีการนำเอา RFID มาใช้ในการพัฒนาด้านปศุสัตว
์ให้เป็นระบบ ฟาร์ม ออโตเมชั่น ด้วย Tag ติดตัวสัตว์เลี้ยง ทำให้สามารถทราบเจ้าของ ตรวจสอบสายพันธุ์ การให้อาหาร และการควบคุมโรคติดต่อในสัต
ว์ได้
งานทะเบียนของรัฐ
ระบบทะเบียนประวัติโดยทั่วไ
ป จะใช้การพิมพ์ลายนิ้วมือประ
กอบ การทำประวัติ แต่เนื่องจากครื่องพิมพ์ลาย
นิ้วมือยังไม่มีความแน่นอน 100 % เช่น เลนส์อ่านสกปรกหากมีการใช้ง
านจำนวน มาก และคนประมาณ 5-10 % จะมีปัญหากับลายนิ้วมือ เนื่องจากมีลายนิ้วมือที่ใก
ล้เคียง กัน ดังนั้นในหลายประเทศจึงได้ม
ีแนว คิดนำเอา RFID มาใช้เก็บทะเบียนประวัติในร
ูปของการ์ด (e-Citizen) และทำระบบความปลอดภัยเชื่อม
ต่อ กับฐานข้อมูลคนเข้าเมือง
ร่วม กับการใช้ e-Passport แทนการพิมพ์ลายนิ้วมือ
ระบบรักษาความปลอดภัย (Security Access)
ปัจจุบันการใช้บัตรที่มีแถบ
แม่ เหล็กในการเข้า-ออกสำนัก
งาน อาคาร มักเกิดปัญหาแถบแม่เหล็กเสี
ย เมื่อรูดไปนานๆ ซึ่งปัญหาดังกล่าวสามารถแก้
ไขได้ด้วยเทคโนโลยี RFID ที่นำมาประยุกต์ใช้กับระบบเ
ข้า-ออก สำนักงาน โดยทำให้อยู่ในรูปของบัตร ที่เรียกว่า Proximity Card ที่สามารถทำงานได้เพียงแค่แ
ตะ หรือแสดงผ่านหน้าเครื่องอ่า
นเท่า นั้น หมดปัญหาแถบแม่เหล็กสีย ทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการเปลี
่ยนบัตรใหม่ได้ หรือสามารถใช้ในการบันทึกเว
ลา เข้า - ออกของพนักงานได้อีกทางหนึ่
งด้วย
เทคโนโลยี RFID กับประเทศไทย
สำหรับประเทศไทยนั้นได้เริ่
มมี บริษัทที่ทำธุรกิจด้านนี
้ ตั้งแต่การออกแบบไมโครชิป ผลิตการ์ด การออกแบบเครื่องอ่าน (Reader) จนถึงการทำระบบ (System Integration) แต่หลายบริษัทยังขาดประสบกา
รณ์การเป็นห่วงโซ่อุปทานที่
แข็งแกร่ง ขาดบุคลากรที่มีความชำนาญ ด้านเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส
์ชั้น สูง ตลอดจนเงินทุนสนับสนุนการพั
ฒนา และถึงแม้จะมีข้อสรุปจากการ
ร่วม เสวนาของภาครัฐและภาคเอ
กชน ให้มีการจัดตั้งเป็นคลัสเตอ
ร์สำหรับ RFID ใช้แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่าง
ผู้ ที่เกี่ยวข้องด้วยกัน เพื่อหาจุดเริ่มต้นในการพัฒ
นา และกำหนดมาตรฐาน RFID ของประเทศไทยเอง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับความ
ตื่น ตัวและการสนับสนุนจากภา
ครัฐ ของประเทศเพื่อนบ้านแล้
ว ประเทศไทยยังตามหลังอยู่อีก
หลาย ช่วงตัว ดังนั้นประเทศไทยจึงควรหันม
าให้ค วามสนใจ โดยเฉพาะภาครรัฐต้องให้การส
นับ สนุนอย่างจริงจัง และต้องอาศัยความร่วมมือจาก
ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนาให้ประเทศไทยก้าว
ทัน กับเทคโนโลยี RFID ที่กำลังมีบทบาทสำคัญกับการ
ดำเนินชีวิตของมนุษย์ในทศวร
รษนี้
เทคโนโลยี RFID กับการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
ทุกสิ่งย่อมมีสองด้านเสมอ และเทคโนโลยี RFID ก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้จะมีคุณประโยชน์ในหลา
ย ๆ ด้าน แต่ก็สามารถก่อให้เกิดผลเสี
ยกับ ประชาชน หรือผู้บริโภคได้ ด้วยคุณสมบัติอันอัจฉริยะขอ
งเทคโนโลยี เช่น ประวัติการซื้อสินค้า หรือข้อมูลประจำตัวของเราอา
จถูก บันทึกไว้ตอนซื้อสินค้า
ใน ร้านค้า และข้อมูลดังกล่าวจะถูกนำไป
ใช้ โดยเจ้าของร้านค้า เพื่อทำโฆษณาขายสินค้าให้ตร
งกับพฤติกรรมาของเราต่อไป นั่นหมายถึงเราจะถูกรุกรานจ
ากโฆษณา เหล่านั้นอยู่เสมอ หรือในกรณีที่เรามี tag อยู่กับตัว ไม่ว่าจะติดอยู่กับเสื้อผ้า
รองเท้า หรือสิ่งของต่าง ๆ เมื่อเราอยู่ในรัศมีสัญญาณข
องเครื่องอ่าน (Readers) ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเราจะถูก
เปิด เผย ทั้งหมดนี้ หมายถึงสิทธิส่วนบุคคลของเร
าได้ถูกละเมิด โดยความก้าวหน้าของเทคโนโลย
ีดังกล่าวแล้ว ซึ่งในหลายประเทศให้ความสำค
ัญ และหาทางป้องกันกับเรื่องนี
้ โดยมีการออกกฎหมายคุ้มครองข
้อมูล ส่วนบุคคล เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิ
ดังกล่าว แต่สำหรับประเทศไทย ประชาชนยังให้ความสำคัญต่อข
้อมูล ส่วนบุคคลค่อนข้างน้อย
ดังนั้นทางผู้ที่เกี่ยวข้อง
จึง ควรมีการเผยแพร่ และกระตุ้นให้ประชาชนตระหนั
กถึงความสำคัญ ควบคู่ไปกับการพัฒนากฎหมายค
ุ้ม ครองข้อมูลส่วนบุคคลให้ม
ีประ สิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้สามารถรองรับและป้อ
งกันความเสี่ยงอันเกิดจากคว
ามก้าวหน้าของเทคโนโลยีในปั
จจุบัน และอนาคตได้
แหล่งที่มาข้อข้อมูล: คุณ กันต์ฤทัย อัศวรุ่งไพศาล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์